“หากเรายังขาดความหิวกระหายในความสำเร็จเราจะไปต่อได้ไม่ไกล” วันนี้ Eventpop ได้มีโอกาสมาร่วมฟังและเก็บภาพบรรยากาศงาน "Start It Now" ที่จัดโดย CUtechstartup ภายในงานเต็มไปด้วยนิสิตนักศึกษาและผู้คนมากมายที่สนใจใน startup การแชร์ประสบการณ์ที่หาฟังไม่ได้จากที่ไหน โดย Speaker หลายท่านที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ Startup มีจุดเริ่มต้นจากอะไร? การเปลี่ยนแปลงก้าวผ่านอุปสรรคในใจ ทำได้ยังไง?
ความมุ่งมั่นวัยเด็กที่อยากจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนสอบติดคณะ "วิศวกร" สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ หลังจากเรียนจบเธอก้าวสู่การทำงานที่โรงงาน Jewery ส่งออก ด้วยศักยภาพทำให้เธอก้าวมารับผิดชอบงานด้านการตลาดทั้งหมด จนเธออยากต่อยอดและพิสูจน์ฝีมือโดยการไปเรียนต่อระดับปริญญาโทคณะบริหาร MBA ของ Standford University คุณนกมีโอกาสได้สัมผัสวงการ Startup มากขึ้นและยังได้รู้จักกับ Forrest Li เป็นผู้ก่อตั้ง, ประธานบริษัท, และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท SEA Limited จนในที่สุดก็ได้ร่วมวงธุรกิจกันแล้วมาก่อตั้งในประเทศไทย คุณนกยังบอกอีกว่า "ตัวเขาเองเป็นคนไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่าย ๆ และเธอมีความหลากหลายในตัวเพียงพอ"
สิ่งที่อยากบอกกับน้อง ๆ ที่วันนี้อยากจะเริ่มทำอะไรบางอย่างแต่ยังไม่กล้าคือ "ให้รู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดและเพราอะไร" และสิ่ง ๆ นั้นจะช่วยให้น้องมีความกล้ามากขึ้นที่จะลงมือทำ
"พี่โจ้" CEO ของ Application "QueQ" ผู้ที่เปลี่ยนตัวเองจากการเป็น Programmer มาเป็น CEO ที่ขยายธุรกิจไปอีกหลายประเทศ และจุดเปลี่ยนสำคัญคือ การลุกออกมาจากโซฟาตัวโปรด และจุดหนึ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จ หนึ่งใน Keyword นั้นก็คือ การให้อภัยในความผิดพลาดที่ผ่านมา และลองทำใหม่อีกสักครั้ง
พี่โจ้บอกว่า "ตอนที่เราทำ SME เราต้องการลูกค้า ต้องการรายได้เพื่อให้มันโตขึ้นเรื่อย ๆ กำไรคือสิ่งสำคัญสิ่งแรกที่ต้องคิด แต่วิธีคิดของ Startup เปลี่ยนไปเป็นการสร้างคุณค่าเพื่อแก้ไขปัญหาอะไรให้โลกใบนี้" ต้นกำเนิดของแอป QueQ มาจาก Pain point ของตัวพี่โจ้เองที่รอคิวทำธุรกรรมการเงินนานแล้วคิดว่าถ้ามีแอปจองคิวก่อนคงจะดี จึงเริ่มทำแอปนี้ขึ้นมาแต่เป็นร้านอาหารแทนมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลยพี่โจ้ใช้เวลากว่า 6 เดือนในการพัฒนาแอปต้นแบบ จนปัจจุบันมีหลายร้านอาหารที่เข้ามาใช้ระบบของพี่โจ้
สิ่งสำคัญอย่างคือการหาคุณค่าที่แท้จริงให้เจอ การที่สินค้าหรือบริการจะอยู่ได้นั้นต้องมีคุณค่าแก่ผู้ใช้อย่างเเท้จริงโดยเฉพาะธุรกิจที่เป็นแพลตฟอร์มนั้น ต้องสามารถมอบคุณค่าให้กับทั้งสองฝ่าย ที่ผ่านมา QueQ มีโอกาสขยายธุรกิจไปยัง อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งสิ่งที่ได้เรียนรู้คือ การใช้คนที่เป็นคนท้องถื่นนั่นจำเป็นมาก เพราะปัญหาในแต่ละที่นั้นแตกต่างกัน แต่การรังสรรค์ เรียนรู้ และโฟกัสในสิ่งที่ทำจะช่วยให้เข้าใจในปัญหานั้นได้
คำพูดของ คุณยีราฟ – สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร ผู้ก่อตั้ง Saturday School หรือ โรงเรียนวันเสาร์ คุณยีราฟมองว่าเด็กควรจะได้ Inspiration มากกว่าการเรียนเลข คิดว่าชีวิตพวกเขามีอะไรอีกเยอะที่จะต่อสู้และหาเป้าหมาย การที่เราโตมากับเด็กกลุ่มนี้ก็พบว่าเด็กควรจะรู้อะไรได้มากกว่านี้ มีแรงขับในตัวเองมากขึ้น
ถ้าในอนาคตเราไม่ทำอะไร เราจะอยู่ในสังคมแบบไหน จึงคิดว่าเราต้องทำอะไรบางอย่างให้สังคมมันเปลี่ยน อยากจะเข้าใจปัญหาสังคมมากขึ้น อยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อให้สังคมเปลี่ยนแปลง และคิดว่าการเป็นครูจะช่วยให้เราได้พัฒนาภาวะผู้นำของตัวเอง มากว่านั้นคือได้เปลี่ยนสังคมด้วย จากจุดนี้เองครูยีราฟจึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ Teach for Thailand ที่เป็นโครงการสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลงผ่านการสอนเป็นเวลา 2 ปี โดยครูยีราฟได้มีโอกาสไปสอนวิชาคณิตศาสตร์ในโรงเรียนขยายโอกาสของกรุงเทพมหานคร และพยายามทำโครงการหลากหลายเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวเด็กนอกเหนือจากการสอนวิชาการอย่างเดียว
ความใส่ใจและความต่อเนื่องคือหัวใจ "START NOW OR LATER?" เราควรจะเริ่มมันเลยตอนนี้รึป่าวหรือจะเริ่มอีกปีสองปีสามปี มันไม่สำคัญเท่าระหว่างทางเราลงมือทำอะไรอย่าให้ความกลัวมาหยุดยั้งความตั้งใจของเรา
คุณ ทอฟฟี่ แบรดชอว์ จาก The Standard เขาเล่าว่า ตอนป.2 มีความรู้สึกในหัวตลอดเวลาว่า ชอบแต่งบทร้อยแก้วและร้อยกรอง อยากชนะทุกการประกวดเรียงความ จะวันพ่อ วันแม่ จะต้องชนะให้ได้ พอขึ้นมัธยมต้นก็เรียนที่สาธิตเกษตรฯ ก็ยังชอบภาษาอยู่ทั้งไทยทั้งอังกฤษ
“แต่จุดที่ทำให้เรารู้ว่ารักการเขียนมาก ๆ เลยก็คือ ตอนถูกบังคับให้เรียนวิทย์-คณิตเพราะคุณพ่อคุณแม่เป็นหมอ มันไม่มีวิชาไหนที่เรียนแล้วมีความสุขเลย ตอนเรียนไม่ชอบเลข ไม่ชอบเคมี ไม่ชอบฟิสิกส์ สิ่งที่ทำในห้องเรียนคือนั่งแต่งกลอนว่าเราเบื่อวิชานี้ยังไง จุดนั้นทำให้เรารู้ว่านี่คือสิ่งที่เราอยากทำ ที่ผ่านมาตัวเองเป็นเด็กเรียนเก่งอยู่ใน spotlight มาตลอดแต่มาอยู่จุดที่ไม่มีใครสนใจ เหมือนเป็นอากาศ ตอนนั้นรู้เลยว่าการถูกมองข้ามมันเป็นยังไง มันนคือบทเรียนที่ได้รู้ว่า "Underdog" เป็นอย่างไง "เขาถึงเข้าใจและใส่ใจคนอื่น" ไม่เคยมองข้ามคนที่ไม่เก่งกว่า และเห็นคุณค่าของตัวเอง
จากนั้นเขาก็เล่าถึง Part ของการทำงานที่แรกที่นิตยสาร GM ซึ่ง Mood ของการเขียนยังเป็นน้ำเสียของผู้ชายตามสไตล์หนังสือ และทำมาเรื่อย ๆ จนมีชื่อเสียงในวงการงานเขียน แต่แล้ววันหนึ่งเกิดอะไรที่แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่ได้คาดคิด เขาต้องผ่าตัดทำบอลลูนหัวใจ คุณหมอซึ่งเป็นพี่ชายของเขาเองบอกว่ามีโอกาสรอด 25% มันเป็นอะไรที่โหดร้ายสำหรับครอบครัวมาก แต่เขาก็ผ่านมันมาได้ด้วยคำพูดและความรักจากพ่อแม่ ที่บอกว่า "ไม่ต้องห่วงนะ ลูกรัก เราจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกมีชีวิตอยู่" วันนั้นเลยทำให้คิดได้ว่าอะไรสำคัญที่สุดในชีวิตนั่นคือ"ครอบครัว" เขาบอกว่าพอผ่าน 25% นั่นมาได้เขาจะไม่บ้าความสำเร็จ ไม่บ้างาน จะดูเเลคนอื่น จะไม่คิดเรามีโอกาสอีกยาวนานที่จะทำอะไร แต่จะลงมือทำ ณ ตอนนั้นเลย ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำ
Keyword อันหนึ่งของคุณทอฟฟี่ที่ดีมาก ๆ เขาพูดว่า "ล้มเหลวในการใช้ชีวิต แต่เรียนรู้ในการมีชีวิตอีกครั้ง" อยากจะขอบคุณ คุณทอฟฟี่มาก ณ วินาทีนั้นที่ให้ Inspiration กับคนคนหนึ่งได้มากขนาดนี้ สุดยอดมากค่ะ
"แม่คือพลังผลักดันสูงสุดในชีวิต" คุณกระทิงเกริ่นเเต่แรกเลยว่าเขาเองเป็นเด็กต่างจังหวัด ตอนเด็ก ๆ คุณแม่ของคุณกระทิงเป็นโรคหอบหืดซึ่งเคยหยุดหายใจมาแล้ว 6 ครั้ง "ครั้งสุดท้ายแม่หยุดหายใจเกือบนาที" แม่บอกผมว่าเธอขอร้องผู้ที่มารับเธอไปจากโลกนี้ให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อลูก และคุณแม่ก็เอาชนะความตายมาได้ คำพูดที่เป็นแรงผลักดันจนทุกวันนี้ "หากอุปสรรคของลูกไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่าความตาย จงอย่ายอมแพ้เด็ดขาด"
"Passion Without Discipline Is Just Illusion" Passion อย่างเดียวไม่พอแต่ทุกสิ่งต้องมาพร้อมกับวินัย และวินัยที่มันเกิดขึ้นทุกวัน เขาเองตื่นตี 4 ทุกวันเพื่ออ่านหนังสือให้มากกว่าคนอื่นเพราะเขาไม่ได้ฉลาดเท่าคนอื่น วันไหนไฟดับก็จุดเทียนเพื่อให้ได้อ่านหนังสือเท่าปกติ นี่คือสิ่งที่เขาทำทุกวันเป็นเวลา 6 ปี และด้วยความพยายามคุณกระทิงได้เหรียญทองฟิสิกส์โอลิมปิก เหรียญทองแดงคณิตศาสตร์โอลิมปิก และเรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หลังจากเรียนจบคุณกระทิงทำงานที่บริษัท P&G และเติบโตอย่างรวดเร็ประสบทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว แต่ในความความล้มเหลวนั้นช่วยสอนให้ตัวเองเก่งขึ้น เขาเติบโตในสายงานอย่างรวดเร็ว มาวันหนึ่งได้ยินเรื่องราวของบริษัท Yahoo ซึ่งเป็น Startup มาแรงในตอนนั้นทำให้เกิดอยากเรียนรู้มากกว่าเดิม จึงอยากไปศึกษาต่อที่ Stanford University เส้นทางตอนนั้นไม่ได้ง่ายเลย กว่าจะสอบชิงทุนเรียนได้ ค่าเทอม 4 ล้านบาทต่อเทอม ต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย แต่เขาก็ผ่านมาได้
การไปเรียนที่ Stanford University สอนให้เขารู้จักคำว่า "Winning Environment" ถ้าอยากประสบความสำเร็จแบบไหน ให้เอาตัวเองไปอยู่ในสภาพแบบนั้น หลังจากที่เรียนจบแล้วคุณกระทิงก็เริ่มศึกษา Startup และเติบโตในการทำงานกับองค์กรใหญ่ ๆ อย่าง Google ที่เป็นบริษัทระดับโลกมาแล้วนานถึง 7 ปี แต่ท้ายที่สุดก็ได้มาทำงานร่วมกับ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง KBank